โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่หลักของการทำธุรกิจ การมีเว็บไซต์สวย ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ผู้ใช้กลายเป็นเรื่องจำเป็น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีความรู้ด้านการเขียนโค้ดหรือโปรแกรมมิ่ง บางคนอาจอยากทำเว็บไซต์ขายสินค้า เว็บไซต์บริษัท หรือแม้แต่บล็อกส่วนตัว แต่ติดตรงที่ “ไม่รู้โค้ด” หรือไม่มีทีมไอทีช่วยเหลือ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่เรียกว่า Low-code และ No-code ซึ่งกำลังมาแรงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้การสร้างเว็บหรือแอปพลิเคชันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะแทบทุกคนสามารถเรียนรู้และลองทำได้ด้วยตนเอง แถมยังช่วยลดเวลา ลดค่าใช้จ่าย และเปิดโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจ
ทำความเข้าใจกับ Low-code และ No-code
Low-code คือแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ได้โดยการใช้โค้ดให้น้อยที่สุด อาจมีการเขียนโค้ดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเน้นการลากวาง (Drag & Drop) ใช้ฟีเจอร์สำเร็จรูปที่ระบบมีให้ เหมาะกับคนที่มีพื้นฐานด้านไอทีเล็กน้อย หรืออยากปรับแต่งการทำงานให้ละเอียดขึ้น
No-code คือแพลตฟอร์มที่ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเลย ทุกอย่างทำผ่านการลากวางหรือการตั้งค่าในระบบ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่มีพื้นฐานเขียนโปรแกรมเลย แต่ต้องการสร้างเว็บไซต์หรือแอปที่ใช้งานได้จริง
ทั้งสองแนวทางนี้จึงมีเป้าหมายเหมือนกัน คือทำให้การพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นเรื่องง่ายขึ้น ลดอุปสรรคที่เคยมีเฉพาะโปรแกรมเมอร์เท่านั้นถึงจะทำได้

ทำไม Low-code และ No-code ถึงมาแรง
1. ตอบโจทย์ธุรกิจยุคดิจิทัล
ในยุคที่การแข่งขันสูง ธุรกิจต้องการเปิดตัวบริการใหม่หรือเว็บไซต์ใหม่ให้เร็วที่สุด Low-code และ No-code ช่วยลดเวลาพัฒนาที่เคยใช้เป็นเดือนให้เหลือเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์
2. ลดค่าใช้จ่าย
การจ้างทีมพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปแบบเต็มรูปแบบมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ เจ้าของธุรกิจสามารถทำเอง หรือมีทีมเล็ก ๆ ก็ทำได้ โดยไม่ต้องลงทุนมาก
3. เปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึง
ไม่จำเป็นต้องเรียนเขียนโค้ดหลายปี แค่เข้าใจวิธีการใช้เครื่องมือก็สามารถสร้างเว็บไซต์หรือระบบที่ใช้งานได้จริงแล้ว
4. ความยืดหยุ่น
แพลตฟอร์ม Low-code และ No-code ส่วนใหญ่รองรับการปรับแต่งหลากหลาย ทั้งการออกแบบหน้าตา ฟังก์ชันการทำงาน และการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ
ข้อดีของการใช้ Low-code และ No-code
หนึ่งในข้อดีที่โดดเด่นที่สุดคือการ “ลดความซับซ้อน” ให้คนทั่วไปสร้างเว็บไซต์หรือระบบได้เอง จากเดิมที่ต้องอาศัยนักพัฒนาและใช้เวลาเป็นเดือน ตอนนี้เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่วัน
อีกข้อดีคือช่วย ลดความเสี่ยง เพราะธุรกิจสามารถทดลองตลาดได้ก่อน เช่น ทำเว็บไซต์ขายสินค้าเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อดูว่ามีลูกค้าสนใจหรือไม่ หากเวิร์กค่อยลงทุนพัฒนาเพิ่มเติม
นอกจากนี้ยังช่วยเรื่อง การปรับเปลี่ยนได้เร็ว เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้มักมีฟีเจอร์แก้ไขแบบเรียลไทม์ อยากเพิ่มสินค้าใหม่ เปลี่ยนดีไซน์ หรือเชื่อมระบบจ่ายเงินใหม่ ก็ทำได้ทันที
ข้อจำกัดที่ควรรู้ก่อนเลือกใช้
ถึงแม้ Low-code และ No-code จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกสถานการณ์ เพราะยังมีข้อจำกัดที่ควรคำนึงถึง เช่น
- ความยืดหยุ่นไม่เต็มที่ แม้จะปรับแต่งได้เยอะ แต่ก็ยังมีขอบเขตที่ระบบกำหนดไว้ ถ้าอยากได้ฟีเจอร์ซับซ้อนมาก ๆ อาจต้องใช้การเขียนโค้ดจริง
- ค่าใช้จ่ายรายเดือน บางแพลตฟอร์มเก็บค่าบริการเป็นรายเดือน ซึ่งเมื่อรวมกันนาน ๆ อาจมีราคาสูงกว่าการพัฒนาเองในระยะยาว
- ข้อจำกัดด้านความปลอดภัยและข้อมูล ธุรกิจที่ต้องการเก็บข้อมูลจำนวนมากหรือต้องการระบบที่ปลอดภัยสูง อาจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนใช้
อนาคตของ Low-code และ No-code
หลายคนคาดการณ์ว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เครื่องมือประเภทนี้จะพัฒนาไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ อาจรองรับ AI มาช่วยในการสร้างเว็บไซต์หรือแอป ทำให้ผู้ใช้เพียงแค่บอกความต้องการ ระบบก็สร้างให้เสร็จแทบจะทันที
ในขณะเดียวกัน ความต้องการนักพัฒนาก็ยังคงมีอยู่ เพราะระบบที่ซับซ้อนหรือฟีเจอร์เฉพาะด้านยังต้องอาศัยการเขียนโค้ดจริง แต่แนวโน้มคือ Low-code และ No-code จะช่วยให้นักพัฒนาเองทำงานเร็วขึ้น และช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดเข้าถึงโลกดิจิทัลได้ง่ายขึ้น
Low-code และ No-code คือก้าวสำคัญของการทำให้เทคโนโลยีเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ ฟรีแลนซ์ นักเรียน หรือคนที่อยากลองสร้างอะไรใหม่ ๆ เครื่องมือเหล่านี้ก็เปิดโอกาสให้ทำได้ โดยไม่ต้องมีความรู้โค้ดขั้นสูง
ถึงแม้จะมีข้อจำกัดบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังเปลี่ยนโลกของการสร้างเว็บไซต์และแอปพลิเคชันไปอย่างสิ้นเชิง และในอนาคตอันใกล้ เราอาจได้เห็นการใช้งานแพร่หลายจนกลายเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจบนโลกออนไลน์