การดูแลสุขภาพใจในยุคดิจิทัล ห่างไกลภาวะเบิร์นเอาต์
ไลฟ์สไตล์

การดูแลสุขภาพใจในยุคดิจิทัล ห่างไกลภาวะเบิร์นเอาต์

โลกดิจิทัลได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเรียน การสื่อสาร หรือแม้แต่ความบันเทิง สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้มอบโอกาสและความรวดเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความเชื่อมโยงที่ไร้ขีดจำกัดนี้ก็อาจกลายเป็นดาบสองคมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพใจของเราได้ หากไม่รู้จักบริหารจัดการให้ดี ก็อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “เบิร์นเอาต์” (Burnout) หรือภาวะหมดไฟได้ง่ายขึ้น

ภาวะเบิร์นเอาต์

ภาวะเบิร์นเอาต์ในยุคดิจิทัลคืออะไร

ภาวะ เบิร์นเอาต์ หรือ “หมดไฟ” ในยุคดิจิทัลไม่ได้จำกัดแค่เรื่องงานหนักอีกต่อไปค่ะ แต่ได้ขยายขอบเขตมาครอบคลุมถึงความเหนื่อยล้าทางใจที่เกิดจากการเชื่อมโยงกับโลกออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญภาวะนี้คือ ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์และร่างกายอย่างรุนแรง รู้สึกหมดพลังแม้จะพักผ่อนแล้ว 

นอกจากนี้ยังอาจ มองโลกในแง่ลบ หรือ รู้สึกห่างเหิน กับทั้งงานและผู้คน ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ขาดสมาธิ และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถเท่าเดิม ที่น่าสนใจคือ บางคนอาจ ติดโซเชียลมีเดียแต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยว หรือมีความต้องการ หลีกหนีจากหน้าจอ แต่ก็อดหยิบขึ้นมาดูไม่ได้ และสุดท้ายคือ มีปัญหาการนอนหลับ นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท เพราะสมองยังคงประมวลผลข้อมูลอย่างหนัก

 

สาเหตุของภาวะหมดไฟ

โลกดิจิทัลที่ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ได้สร้างแรงกดดันและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดภาวะเบิร์นเอาต์หลายประการ

  • การเชื่อมต่อตลอดเวลา (Always-on Culture) อีเมลแจ้งเตือน ข้อความแชท หรือการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดียที่เด้งขึ้นมาตลอดเวลา ทำให้เรารู้สึกเหมือนต้องพร้อมตอบสนองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ทำให้เส้นแบ่งระหว่างชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัวเลือนรางลง
  • ข้อมูลท่วมท้น (Information Overload) เราถูก bombard ด้วยข้อมูลข่าวสารจากหลากหลายช่องทางตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร ความรู้ หรือเรื่องราวส่วนตัวของผู้อื่น ทำให้สมองทำงานหนักในการประมวลผลและจัดระเบียบข้อมูล
  • แรงกดดันจากโซเชียลมีเดีย การเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบบนโซเชียลมีเดีย การต้องคอยอัปเดตสถานะ หรือการเสพข่าวสารดราม่าต่างๆ อาจสร้างความเครียดและความกังวลโดยไม่รู้ตัว
  • ความคาดหวังที่สูงขึ้น การติดต่อสื่อสารที่ง่ายและรวดเร็ว ทำให้เกิดความคาดหวังว่าทุกอย่างควรจะรวดเร็วและสมบูรณ์แบบไปเสียหมด
  • แสงสีฟ้าจากหน้าจอ (Blue Light Exposure) การจ้องหน้าจอนานๆ โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนนอน อาจรบกวนการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับโดยตรง

 

การดูแลสุขภาพใจให้ห่างไกลภาวะเบิร์นเอาต์

การดูแลสุขภาพใจในยุคดิจิทัล ไม่ใช่การตัดขาดจากโลกออนไลน์ทั้งหมด แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างสมดุลและรู้เท่าทันค่ะ

1. กำหนดขอบเขตการใช้งานดิจิทัลให้ชัดเจน

นี่คือหัวใจสำคัญ การตั้งขีดจำกัดจะช่วยให้คุณควบคุมการใช้งานได้ดีขึ้น

  • กำหนดเวลา “ปลอดหน้าจอ” เช่น งดใช้โทรศัพท์มือถือก่อนนอน 1 ชั่วโมง หรือในช่วงรับประทานอาหารกับครอบครัว
  • สร้างพื้นที่ “ปลอดเทคโนโลยี” กำหนดมุมโปรดในบ้านที่ไม่พกพาอุปกรณ์ดิจิทัลเข้าไป เช่น ห้องนอน หรือพื้นที่นั่งเล่น
  • ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็น ลดสิ่งรบกวนและแรงกระตุ้นให้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอยู่บ่อยๆ
  • พักสายตาและร่างกาย ใช้กฎ 20-20-20 (ทุก 20 นาที พักสายตาจากจอ 20 วินาที ด้วยการมองไปที่วัตถุไกล 20 ฟุต) และลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง

 

2. เสพข้อมูลอย่างมีสติ

เลือกรับข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ต่อสุขภาพใจของคุณ

  • คัดกรองเนื้อหา เลิกติดตามบัญชีหรือกลุ่มที่สร้างความรู้สึกเชิงลบ ความกังวล หรือการเปรียบเทียบ
  • ตั้งคำถามกับข้อมูล อย่าเพิ่งเชื่อทุกสิ่งที่เห็นบนโลกออนไลน์ ตรวจสอบแหล่งที่มาและความน่าเชื่อถือ
  • เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เลือกรับข่าวสารจากแหล่งที่น่าเชื่อถือเพียงไม่กี่แห่ง แทนที่จะพยายามรับรู้ทุกเรื่อง

นัดเจอเพื่อนฝูงและครอบครัว

3. เน้นความสัมพันธ์และกิจกรรมในชีวิตจริง

การเชื่อมโยงกับผู้คนจริงๆ และการทำกิจกรรมที่จับต้องได้จะช่วยเติมพลังใจได้ดีที่สุด

  • นัดเจอเพื่อนฝูงและครอบครัว ใช้เวลาร่วมกันโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ดิจิทัล
  • หากิจกรรมอดิเรกที่ไม่เกี่ยวกับหน้าจอ เช่น อ่านหนังสือ ทำอาหาร ออกกำลังกาย ทำสวน หรือทำงานศิลปะ
  • ออกไปสัมผัสธรรมชาติ การใช้เวลาในพื้นที่สีเขียวช่วยลดความเครียดและเพิ่มความผ่อนคลาย

 

4. ฝึกการหยุดพักจากโลกดิจิทัล (Digital Detox)

ลองกำหนดช่วงเวลาสั้นๆ ในแต่ละวัน หรือวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อพักจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลโดยสิ้นเชิง อาจเริ่มต้นจากการงดใช้โทรศัพท์มือถือสักครึ่งวัน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาขึ้น การทำแบบนี้จะช่วยให้สมองได้พัก และคุณได้กลับมาโฟกัสกับตัวเองและสิ่งรอบข้าง

 

5. ฝึกฝนสติและการจัดการความเครียด

เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดการกับความเครียดและความรู้สึกท่วมท้นได้ดีขึ้น

  • ฝึกสมาธิ (Mindfulness) ใช้เวลาสั้นๆ ในแต่ละวันเพื่อฝึกการมีสติอยู่กับปัจจุบัน ลมหายใจ หรือร่างกาย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและเพิ่มฮอร์โโมนแห่งความสุข
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนอนหลับที่ดี ปิดอุปกรณ์ดิจิทัลก่อนนอน

 

6. กล้าที่จะขอความช่วยเหลือ

หากรู้สึกว่ากำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟอย่างรุนแรง หรือไม่สามารถรับมือกับความเครียดได้ด้วยตัวเอง อย่าลังเลที่จะพูดคุยกับเพื่อนสนิท ครอบครัว หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต การขอความช่วยเหลือไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการแสดงออกถึงความเข้มแข็งและการใส่ใจในตัวเอง

 

โลกดิจิทัลไม่ใช่ผู้ร้ายเสมอไป หากเรารู้จักใช้มันอย่างชาญฉลาดและมีสติ การดูแลสุขภาพใจในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน อาจต้องอาศัยวินัยและการตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือชีวิตที่มีความสุข ความสมดุล และสุขภาพใจที่แข็งแรง ซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องแลกมาด้วยภาวะหมดไฟและความเหนื่อยล้าทางใจค่ะ